• พรหมเล่ห์รัก (Destiny...I fall in love) ตอนที่ 21 _ 100%

    ติ๊กไม่รู้หรอกนะคะว่าเขียนนิยายเรื่องนี้แล้ว จะได้ตีพิมพ์กับสนพ.หรือไม่ มันเป็นแนวแปลกค่ะ ถึงจะ 18+ ก็จริงอยู่ (แม้จะยังไม่ถึงตอนนั้นก็ตาม 555 แต่ถ้าถึงเมื่อไหร่ก็เรียกรถดับเพลิงมาได้เลยค่ะ) แต่มันเป็น 18+ ที่มีเรื่องผีด้วย เหมือนเรื่องแรกของติ๊กน่ะค่ะ ส่งสนพ.จนอ่อนใจแล้วก็ได้พิมพ์เองเป็นหนังสือทำมือ ^^ เรื่องนี้ก็ไม่รู้จะยังไงดีนะคะ จะส่งสนพ.หรือจะพิมพ์เอง ต้องรอดูอีกทีค่ะ ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่เข้ามาอ่าน ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ที่คอยทวง คอยติ คอยรั้งเอาไว้ให้กลับมาปั่นนิยายต่อไวๆ ^^ ขอบคุณจริงๆ ค่ะ 



    ตอนที่ 21 _ 100%

                กิ่งกาญจน์ที่รีบขับรถตามมาที่บ้านของวีณาหลังจากสังหรณ์ใจว่าจักรกฤษณ์จะต้องมาที่นี่เป็นแน่ แล้วมันก็เป็นจริงดังที่เธอคาดเอาไว้ รถยนต์สีดำคันงามของเพื่อนเธอจอดอยู่ เธอรีบจอดรถต่อท้ายก่อนจะลงจากรถแล้วเดินเข้าไปที่ประตูอย่างเคยชินเนื่องจากเธอมาหลายต่อหลายครั้งแล้วจนไม่ต้องไปกดกริ่งประตูหน้าเพื่อให้แม่บ้านมาเปิดประตูให้ เพราะบ้านนี้จะเปิดประตูเล็กด้านข้างเอาไว้ในกรณีที่เป็นคนรู้จักมักคุ้นกันก็จอดรถไว้หน้าบ้านแล้วเปิดประตูเล็กเข้ามาได้เลยหากไม่ต้องการจะจอดรถที่ด้านในรั้วบ้านหลังใหญ่นี้

                “โอ๊ย!!

                “ขอโทษครับ คุณไม่เป็นไรนะ” เสียงทุ้มของผู้ชายที่กิ่งกาญจน์เดินชนเอ่ยถาม

                “เอ่อ...ค่ะไม่เจ็บ ฉันไม่ได้ดูทางเอง ขอโทษด้วยนะคะ”

                “ถ้าอย่างนั้นผมขอตัว”

                อีกฝ่ายมีมารยาทและยังเสียงทุ้มนุ่ม จากระดับสายตาของเธอที่ยังอยู่ที่อกแกร่งบ่งบอกได้ว่าใต้เสื้อคงเป็นกล้ามที่น่าลูบไม่หยอก แต่หญิงสาวไม่ทันได้เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายก็เดินจากไปเสียก่อน กิ่งกาญจน์ละสายตากลับมาเดินเข้าบ้านไปอย่างเงียบๆ บ้านหลังนี้เต็มไปด้วยต้นไม้ที่ให้ร่มเงา บรรยากาศร่มรื่นและสงบแต่วันนี้กลับไม่ใช่ เสียงโอดครวญที่ดังขึ้นมาเป็นระยะกิ่งกาญจน์จำได้ว่าคือเสียงของเพื่อนเธอเป็นแน่

                ขาเรียวรีบก้าวไปให้ถึงที่หมาย ภาพจักรกฤษณ์เอามือกุมหน้าแข็งร้องโอดโอยช่างเป็นอะไรที่ดูน่าสมเพชและแปลกประหลาดในคราวเดียวกัน ถึงเพื่อนของเธอจะเป็นคนขี้โวยวายหรือจะเป็นประเภทที่คนเขาเรียกว่า “คุณหนู” ก็ตามที แต่จักรกฤษณ์ไม่เคยร่ำร้องให้ใครต้องช่วยเหลือถ้าเขาเจ็บจริงผู้ชายคนนี้ยอมตายดีกว่าร้องไห้ออกมา แต่นี่...

                “เล่นอะไรกันน่ะ”

                “พี่กิ่งมาก็ดีแล้วค่ะ ช่วยดูพี่กฤษณ์ด้วยนะคะ เดี่ยววีณามาค่ะ” พูดจบไม่รอให้กิ่งกาญจน์ตอบรับวีณารีบวิ่งไปที่ประตูบ้านทันทีทิ้งให้กิ่งกาญจน์จ้องหน้าคนที่ทำท่าทางเหมือนคนจะตายอยู่บนพื้นหญ้า

                “แกเป็นอะไรน่ะ ร้องยังกับควายถูกเชือด” ในเมื่อไม่หยุดร้องก็คงต้องซ้ำเติมด้วยความถนัด

                “โดนกระทืบ!” คำตอบเรียกเอากิ่งกาญจน์ตกใจตาโต

                “เฮ้ย! จริงดิ ใครทำแกวะ?”

                “...”

                “ตอบมาสิวะ จะมัวอมพะนำอยู่ทำไมเนี่ย อยากเห็นหน้าคนที่กล้ากระทืบลูกชายนักการเมืองใหญ่คนนี้จังเลยว่ะ”

                “แกจะอยากเห็นไปทำไมวะ” ร่างหนาที่ยังนั่งจับหน้าแข้งอยู่ที่พื้นหญ้าถามอย่างสงสัย

                “ไม่มีอะไร ฉันแค่จะเอาเงินไปให้เขาน่ะและยังจะแถมข้าวสารให้อีกกระสอบโทษฐานทำถูกใจ กระทืบแกให้ฉันไง ฮ่าๆๆๆ”

                “ไอ้กิ่ง อะ โอ๊ย!! เจ็บจังเลย”

                “สมน้ำหน้า เฮ้ย! เจ็บขนาดนั้นเลยเหรอ ไหนมาดูหน่อยสิ” หญิงสาวนั่งคุกเข่าลงข้างๆ ร่างหนา ก้มลงดูหน้าแข้งที่ดูยังไงก็ไม่เห็นจะมีอะไรผิดปกติร้ายแรงถึงขั้นต้องโอดครวญขนาดนี้

                กิ่งกาญจน์เงยหน้าขึ้นมองแล้วก็ต้องหน้าร้อนวูบอย่างไม่ทราบสาเหตุ ใจจริงก็รู้สาเหตุอยู่หรอกนะแต่เธอไม่อยากจะยอมรับ เมื่อเจอเข้ากับใบหน้าคมเข้มของอีกฝ่ายที่ตอนนี้อยู่ใกล้กันเกินไปแล้ว ภาพในเช้าวันนั้นยังติดตาติดใจอยู่มิใช่น้อย ไม่อยากจะจำก็ต้องจำในเมื่อมันสลัดภาพในหัวออกไปไม่ได้เลย ร่างบางเลือกที่จะสงบปากสงบคำอย่างรวดเร็วอย่างคนระมัดระวังตัวผิดวิสัย ก่อนจะรีบยันตัวขึ้นหมายจะหนีจากสภาพอิหลักอิเหลื่อนี้

                แต่มือหนากลับเหมือนไม่เห็นด้วย รั้งแขนเพรียวบางของอีกฝ่ายไว้ สีหน้ากรุ้มกริ่มยื่นเข้ามาชิด ฉกจมูกโด่งเข้าหาแก้มนวลตรงหน้าอย่างรวดเร็ว สูดความหวานเข้าไปฟอดใหญ่จนอิ่มใจแล้วถึงได้ยอมปล่อยมือหนาแข็งแรงราวคีมเหล็กออกอย่างรวดเร็ว

                “หอมดีนี่ หึหึหึ เอ้า ลุกได้แล้วแม่คุณ มั่วแต่นั่งตะลึงอยู่นั่นแหละ”

                จักรกฤษณ์ที่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพูดด้วยน้ำเสียงเร่งเร้ายั่วโมโหร่างที่นั่งเหวออยู่ที่เดิมได้ผลดีนัก

                “ไอ้กฤษณ์!!!” เสียงลอดไรฟันดังขึ้นอย่างเหลืออด กิ่งกาญจน์ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว จ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ นี่เธอขาดทุนไปมากน้อยแค่ไหนแล้วนี่

                “จ๋า ที่รักเรียกผมทำไมครับ”

                “ไอ้...”

                “ทำอะไรกันคะพวกพี่ๆ” ก่อนที่ทั้งคู่จะวางมวยกันมากกว่านี้ เสียงระฆังพักยกก็ดังขึ้นแต่เสียงระฆังแลดูไม่ก้องกังวารเหมือนเช่นเคย

                “เปล่าหรอกจ้ะไม่ได้ทำอะไรกันหรอก” กิ่งกาญจน์เป็นฝ่ายตอบคำถาม เจ้าบ้านเมื่อเจ้าบ้านเดินเข้ามาใกล้

                “พวกพี่ๆ คงไม่ว่าอะไรนะคะ วันนี้วีณารู้สึกไม่สบาย อยากพักผ่อน...”

                “ได้เลยจ้ะ ถ้าอย่างนั้นพวกพี่ไม่กวนแล้ว เดี๋ยววันหลังเราไปเที่ยวกันอีกนะ” กิ่งกาญจน์หันไปมองจักรกฤษณ์ที่ทำท่าทางราวกับจะทักท้วง “ไป กลับบ้านกันได้แล้วไอ้กฤษณ์ ไม่ได้ยินหรือยังไง น้องเขาไม่สบายอยากพักผ่อน”

                “เอ่อ...รักษาสุขภาพนะ พี่กลับก่อนนะครับ ไปได้แล้วยัยทอม” ร่างหนาหันไปลากกิ่งกาญจน์ออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันให้หญิงสาวได้ทันตั้งตัว

                วีณามองผู้ชายที่กำลังเดินจากไปอย่างครุ่นคิด จ้องไปที่การเดิน...ไม่มีทีท่าว่าจะบาดเจ็บหรือเป็นอะไรร้ายแรง ทั้งที่ก่อนหน้านั้นร้องโอดโอยราวกับจะเป็นจะตาย เสียงถอนหายใจดังขึ้น



                “เฮ้อ...ซวยอะไรอย่างนี้ไอ้วีณา”

                หลังจากที่ให้กิ่งกาญจน์ดูแลจักรกฤษณ์แทนตนเองแล้วนั้น วีณาก็วิ่งไปที่หน้าประตูบ้านอย่างรวดเร็ว ไม่มีวันไหนเลยที่จะรู้สึกว่าระยะทางไปประตูเล็กหน้าบ้านจะไกลถึงเพียงนี้ ฝีเท้าที่ย่ำลงไปหัวใจที่เต้นรัวเร็วมันกดดันและบีบคั้นหัวใจเหลือเกิน เมื่อออกไปยืนอยู่หน้าบ้าน วีณาไม่คิดจะดูว่ามีใครอยู่หรือไม่อยู่ เธอไม่ทิ้งโอกาส

                “พี่พงศ์! พี่พงศ์คะ พี่เข้าใจผิดนะคะ พี่อย่าเพิ่งไป พี่พงศ์! วีณาไม่ได้กอดกับใครนะคะ คนนั้นเขาจะล้มก็เลยมาเกาะวีณาไว้ค่ะ วีณามีพี่พงศ์คนเดียวนะคะ กลับมาฟังวีณาก่อน” ใบหน้าเล็กแดงก่ำเมื่อทั้งวิ่งทั้งตะโกนไม่หยุด

                หญิงสาวยกมือขึ้นปาดเหงื่อเมื่อได้พูดในสิ่งที่อยากจะพูดแล้ว เธอเห็นแล้วว่าไม่มีรถคันไหนจอดอยู่หน้าบ้านหรือบริเวณใกล้เคียงเลยสักคันแต่ก็ยังเผื่อจะโชคดีหากพ่อเลี้ยงแสนงอนของเธอจะยังไปไหนไม่ไกล วีณาล้วงเขาไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก

                ตู๊ด...ตู๊ด...ตู๊ด...

                “รับสิคะพี่พงศ์ อย่างอนนักเลยนะ”

                กระหน่ำโทรไปหลายสิบครั้งแต่อีกฝ่ายไม่ยอมรับสาย ในเมื่อไม่ยอมรับสายวีณาจึงเปลี่ยนแผนมาเป็นการส่งข้อความง้อแทน

                “ไม่รับสายดีนักใช่มั้ย คอยดูนะจะส่งข้อความเอาให้โทรศัพท์ระเบิดเลยคอยดูสิ ไอ้พี่พงศ์บ้า!

                จากเศร้าจิตตกเริ่มกลายเป็นโมโหบ้าดีเดือดไปเสียแล้ว เมื่อส่งไปได้สิบข้อความด้วยความไวจำต้องหยุดมือก่อนเพราะเธอยังมีแขกอยู่ในรั้วบ้าน แต่ด้วยอารมณ์ที่ไม่ปกติไม่สามารถต้อนรับแขกได้แล้วตอนนี้เลยต้องไปทำการไล่แขกแทน



               
                พี่โหงพรายว่าป่านนี้โทรศัพท์พ่อเลี้ยงจะระเบิดหรือยังน่ะพี่ผีสาวกัลยานั่งอยู่ที่กำแพงบ้านถามขึ้น

                ทำไมล่ะ?นางโหงพรายที่ยืนนิ่งๆ ประจำที่นอกรั้วบ้านทนสงสัยม่ไหวต้องเอ่ยคำถามกับผีรุ่นน้อง

                เอ้า เมื่อกี้ฉันเพิ่งเห็นวีณากดส่งข้อความอีกแล้ว น่าจะเป็นข้อความที่ร้อยได้แล้วละมั้งพี่โหง

                แล้วกัลยาก็เล่าให้นางโหงพรายฟังอย่างดุเด็ดเผ็ดมันว่าหญิงสาวที่กำลังง่วนอยู่กับการส่งข้อความนั้น ถึงขนาดทานข้าวไปพลางกดส่งข้อความไปพลางกันเลยทีเดียว ประมาณว่าไม่ให้พลาดไปแม้สักวินาทีและดูๆ ไปแล้วหลังๆ อารมณ์ของคนง้องอนออกแนวโมโหเสียมากกว่าจะเป็นการง้อให้หายโกรธ

                นางโหงพรายได้ฟังก็นึกไปถึงใบหน้าของเจ้านายตนเอง เมื่อครั้งล่าสุดที่ต้องมีหน้าที่ไปรายงานแก่พ่อเลี้ยงว่าวีณาพูดอะไรหรือทำอะไรบ้างเมื่อออกมาหน้าประตูรั้วเพื่อตะโกนเรียกไล่หลังที่รถยนต์คันงามได้ออกไปแล้ว ใบหน้าดูนิ่งๆ เหมือนคิดอะไรอยู่ภายในใจรอวันระเบิด ไม่ได้ยิ้มแย้มสักนิดแม้จะรับรู้แล้วว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด ด้วยประสบการณ์ที่อยู่กับเจ้านายมาทำให้นางโหงพรายกล้าฟันธงเลยว่า “วีณางานเข้า”


                คนที่ไม่รู้ตัวว่างานจะเข้านั้นก็กำลังกระหน่ำกดแป้นมือถือส่งข้อความไปหาอีกฝั่งอย่างไม่ให้ขาดตอนกันเลยทีเดียว

                “ใจร้าย”

                “พ่อเลี้ยงใจยักษ์”

                “ใจดำ”

                เสียงปุ่มกดที่ดังอยู่อย่างไม่ว่างเว้นเรียกให้ผีสาวต้องเข้ามาใกล้เพื่อจะได้เข้ามาแอบดูว่าส่งข้อความอะไรไปบ้าง พอเห็นข้อความแล้วถึงกับต้องส่ายศีรษะไปมาก่อนจะบ่นพึมพำ

                สงสัยจะจิตตกจนสติหลุด พอสติหลุดก็โมโห พอโมโหก็เป็นเรื่องละสิคราวนี้ จะคอยดูสิว่าโทรศัพท์ใครจะระเบิดไปก่อนกัน








1 ความคิดเห็น:

  1. Nong_nongka กล่าวว่า...

    ซวยล่ะคราวนี้

แสดงความคิดเห็น